'การผลิตไทย' สาหัสทรุุด 3 ปีติด 6 กลุ่มเปราะบาง ‘ยานยนต์ - เคมีภัณฑ์ - พลาสติก’

28 กุมภาพันธ์ 2568
'การผลิตไทย' สาหัสทรุุด 3 ปีติด 6 กลุ่มเปราะบาง ‘ยานยนต์ - เคมีภัณฑ์ - พลาสติก’
  • อุตสาหกรรมมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยกำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 58.44% เป็นการปรับลดลงต่อเนื่องปีที่ 3
  • กนง.ให้ความสำคัญกับการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ถูกกดดันจากปัจจัยเฉพาะ และการแข่งขันกับอีวี ทำให้ยอดขายมีทิศทางที่ลดลง
  • "สศอ." เดินหน้าเร่งปรับโครงสร้าง 9 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย คาดเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า
  • การลงทุน FDI เพิ่มขึ้น ส่งออกยังขยายตัว แต่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับลดลงติดต่อกันเป็นเวลานาน สะท้อนให้เห็นภาวะความไม่สัมพันธ์กัน จากการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น

ภาคอุตสาหกรรมกำลังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นต่อผลกระทบด้านเศรษฐกิจเมื่อการส่งออกของไทยปี 2567 ขยายตัว 5.4% ในขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 58.44% เป็นการปรับลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และเป็นระดับที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนภาคเอกชนในอนาคต

ขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 26 ก.พ.2568 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.00% โดยส่วนหนึ่งเห็นว่าภาคการผลิตของไทยเผชิญแรงกดดันหลายด้าน ซึ่งภาคการผลิตมีสัดส่วนต่อจีดีพี 10% และกลุ่มที่เปราะบางที่สถานการณ์ทรงตัวหรือแย่ลงมี 6 กลุ่ม คือ 

1.อุตสาหกรรมยานยนต์ มีสัดส่วนในจีดีพีของปี 2567 ที่ 2.0% เจอปัญหาลบจากเทคโนโลยีเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)

2.เคมีภัณฑ์ มีสัดส่วนต่อจีดีพี 2.2% เจอปัจจัยลบจากการแข่งขันกับต่างประเทศ

3.ยางและพลาสติก มีสัดส่วนในจีดีพี 1.5% เจอปัจจัยลบจากการแข่งขันกับต่างประเทศในกลุ่มสินค้าปิโตรเคมี แต่ได้รับปัจจัยบวกจากการบังคับใช้กฎหมายด้านการนำเข้าที่มีส่วนในการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ของยุโรป

4.IC และเซมิคอนดักเตอร์ มีสัดส่วนในจีดีพี 1.1% เจอปัจจัยลบจากเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และได้รับปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการลงทุน PCB

5.วัสดุก่อสร้าง มีสัดส่วนในจีดีพี 0.9% เจอปัจจัยลบจากการแข่งขันจากต่างประเทศ

6.สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม มีสัดส่วนในจีดีพี 0.8% เจอปัจจัยลบจากค่าแรงสูง และการไม่มีข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ

ทั้งนี้ กนง.ให้ความสำคัญกับการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ถูกกดดันจากปัจจัยเฉพาะ และการแข่งขันกับอีวี ซึ่งทำให้ยอดขายมีทิศทางที่ลดลง

นอกจากนี้ ในปี 2567 บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญโดย “ซูบารุ” ได้หยุดผลิตรถจากโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังหลังวันที่ 30 ธ.ค.2567 โดยยังคงวางจำหน่ายในไทย แต่จะนำเข้ามาจากญี่ปุ่นแบบทั้งคันเหมือนตลาดเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ที่จะเปลี่ยนไปจำหน่ายรถนำเข้าเช่นกัน

ในขณะที่ “ซูซูกิ ประเทศไทย” ได้ยุติการผลิตรถยนต์จากโรงงานในไทยภายในช่วงสิ้นปี 2568 โดยยังจำหน่ายรถยนต์และให้บริการหลังการขาย แต่จะเปลี่ยนไปนำเข้ารถยนต์จากโรงงานในอาเซียน ญี่ปุ่นและอินเดียแทน

ยานยนต์ฉุดกำลังการผลิตรวม

รายงานข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ระบุว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตในปี 2567 อยู่ที่ 58.44% เทียบกับปี 2558 อยู่ที่ 68.11% ถือว่าในรอบ 10 ปี การใช้กำลังการผลิตลดลงไปมาก โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2565-2567 สะท้อนภาคการผลิตที่ไม่ฟื้นตัว  
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สศอ.กล่าวว่า กำลังการผลิตที่ต่ำกว่า 60% จากการผลิตยานยนต์ที่ต่ำกว่าเป้าจากคาดการณ์เดิม 1.9 ล้านคัน ได้ปรับเหลือ 1.5 ล้านคัน รวมถึงปัญหาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศทะลักกดดันการผลิตภายในประเทศซึ่งมูลค่าการนำเข้าปี 67 ขยายตัว 6.3% นำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีน ไต้หวัน และเวียดนาม โดยมูลค่าการนำเข้าขยายตัว 1.38%, 24.4% และ 18.1% ตามลำดับ


แหล่งที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.